วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่

เพียงผีเสื้อกระพือปีกในซีกโลกหนึ่ง
ส่งผลให้เกิดพายุอีกซีกโลกได้
 

 
 
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่

ขณะที่โลกกำลังเคลื่อนสู่สหัสวรรษใหม่ คำถามหนึ่งที่น่าขบคิดก็คือ "สิ่งประดิษฐ์อะไรที่เปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์อย่างลึกซึ้งที่สุดในรอบ ๒,๐๐๐ ปีที่ผ่านมา"



เคยมีคนนำปัญหานี้ไปถามนักวิทยาศาสตร์และนักคิดทั่วโลก คำตอบที่ได้รับมีมากมาย บางอย่างเราคงคิดไว้ในใจอยู่แล้ว เช่น เครื่องพิมพ์ ระเบิดปรมาณู คอมพิวเตอร์ แต่มีหลายอย่างที่เราคงนึกไม่ถึง ทั้ง ๆ ที่อยู่ใกล้ตัวเรามาก ลองคิดสักนิด…


คำตอบคือ ยางลบ และ แว่นตา


คนที่เสนอยางลบให้เหตุผลว่า ยางลบช่วยให้เราสามารถย้อนกลับไปแก้หรือขูดลบขีดฆ่า เพื่อจะได้ลองใหม่อีกครั้ง ถ้าไม่มียางลบ ก็คงไม่มีสูตรหรือทฤษฎีวิทยาศาสตร์ เพราะสูตรหรือทฤษฎีเหล่านี้ต้องมีการปรับเปลี่ยนแก้ไขไม่รู้จบ



ส่วนคนที่ยกนิ้วให้แก่แว่นตา บอกว่าสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ช่วยให้มนุษย์ตระหนักว่า เราไม่จำต้องยอมจำนนต่อข้อจำกัดทางกายภาพของตนเองเสมอไป อุปสรรคดังกล่าวสามารถแก้ไขได้เขาคงอยากจะบอกต่อว่า ถ้าไม่มีแว่นตา ก็คงไม่มีการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ หรือการรักษาด้วยการเปลี่ยนถ่ายยีน



ยางลบกับแว่นตาเป็นสิ่งจิ๊บจ๊อยมากในสายตาของคนทั่วไป แต่คุณูปการของมันนั้นกว้างใหญ่ไพศาลมาก ถึงแม้เราอาจไม่เห็นด้วยกับเหตุผลที่ยกมาทั้งหมด แต่คงปฏิเสธไม่ได้กับข้อสรุปที่ว่า มันเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์อย่างมากมาย



ในโลกที่สรรพสิ่งสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น แทบไม่มีอะไรเลยที่ไม่สำคัญ แต่ละสิ่งสามารถส่งผลกระทบอย่างกว้างไกลจนนำไปสู่เหตุการณ์สำคัญได้ เพียงผีเสื้อกระพือปีกในซีกโลกหนึ่งก็อาจส่งผลให้เกิดพายุในอีกซีกโลกหนึ่งได้ เพราะฉะนั้น ที่ว่า "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว" จึงไม่ใช่เรื่องเกินจริงเสียทีเดียวนัก



ด้วยเหตุนี้เอง เราแต่ละคนจึงมีความสำคัญกันทั้งนั้นถึงแม้จะไม่ใช่คนใหญ่คนโต มีอำนาจวาสนา กุมชะตาชีวิตของผู้คนจำนวนมาก หรือมีทรัพย์สินเงินทองมหาศาล ก็มิพึงสำคัญตนว่าเป็นคนไร้ค่าประหนึ่งผงธุลี (อย่าลืมว่าธุลีก็มีความสำคัญ มันสามารถทำให้คอมพิวเตอร์ป่วนได้ง่าย ๆ)



เราอาจสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ไม่ได้ แต่ชีวิตและการกระทำของเราแต่ละอย่าง สามารถสร้างคุณูปการได้มากมายอย่างนึกไม่ถึง น้ำใจและรอยยิ้มที่เรามีให้แก่บางคนนั้น บางครั้งประทับแน่นในใจของเขาไปชั่วชีวิต เงินที่ให้แก่คนแปลกหน้า เราอาจไม่รู้เลยว่า มันได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขามากมายเพียงใด



ลองนึกทบทวนตัวเอง เราอาจพบว่า ในหลายฉากของชีวิตที่ซาบซึ้งใจไม่รู้ลืมนั้น คนสำคัญบางคนได้เข้ามาและจากไปโดยที่เราไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามด้วยซ้ำ แม้จะพานพบเพียงครั้งเดียว แต่บุคคลนิรนามนั้นกลับเป็นคนยิ่งใหญ่ในชีวิตเรา กับคนที่ห่างไกลเรายังให้ความสำคัญเพียงนั้น นับประสาอะไรกับคนใกล้ชิด เช่น ลูกหลาน ญาติพี่น้อง หรือแม้แต่พ่อแม่ เราย่อมไม่มี 'วันนี้' หากเขาเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาในโลกนี้หรือจากไปเสียเนิ่น ๆ



ใครที่คิดว่าชีวิตของตนไร้ค่า น่าจะได้ดูหนังเรื่อง It's a Wonderful Life ของ แฟรงก์ คาปรา ผู้กำกับชาวอเมริกันหนังเรื่องนี้พูดถึงนักธุรกิจเล็ก ๆ คนหนึ่ง ซึ่งรู้สึกว่าชีวิตล้มเหลวมาตลอด ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม จึงคิดฆ่าตัวตาย แต่แล้วเทวดาก็มาช่วยเขา เทวดาไม่ได้มาช่วยฉุดเขาจากแม่น้ำ แต่ช่วยด้วยการทำให้เขาเห็นว่าหากเขาไม่ได้เกิดมาบนโลกนี้ อะไรจะเกิดขึ้น แล้วเขาก็พบหลังจากได้ไปท่องโลกที่ปราศจากตัวเขาว่า น้องเขาจะต้องตกน้ำตาย คนขายยาในเมืองจะต้องติดคุกหัวโตและเป็นบ้า และเมืองที่เขาอยู่จะกลายเป็นนรก เต็มไปด้วยคนเร่ร่อนไร้บ้าน และเอาเปรียบกัน



เรื่องนี้จบโดยตัวเอกตระหนักว่าชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้นไม่ไร้ค่าเลย ความมีน้ำใจของเขาแม้ดูเหมือนเล็กน้อย ได้พลิกผันชีวิตของผู้คนเป็นอันมาก แม้แต่ธุรกิจให้กู้เงินสร้างบ้านซึ่งเขาทำอย่างไม่สู้มีกำไร ก็ช่วยสร้างสรรค์เมืองให้น่าอยู่


หนังเรื่องนี้และชีวิตจริงบอกเราว่า มีสิ่งหนึ่งซึ่งช่วยให้ชีวิตของเราแต่ละคน มีความสำคัญยิ่งต่อผู้คนมากมาย ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก สิ่งนั้นก็คือ ความรัก ความมีน้ำใจ หรือเมตตา


เมตตาธรรมทำให้แต่ละชีวิตยิ่งใหญ่ได้ ก็เพราะสามารถบันดาลใจผู้คน และบันดาลโลกให้น่าอยู่นั่นเอง

ที่มา : ร่มไม้-ริมระเบียง

ใกล้แสนใกล้ไกลแสนไกล

เราเดินทางไปทุกหนแห่ง
แต่กลับปล่อยจิตใจให้กลายเป็นแดนสนธยา






ใกล้แสนใกล้ไกลแสนไกล
มีนิทานเรื่องหนึ่ง เล่ากันสืบต่อมาในหมู่อินเดียแดงเผ่าซูว่า…..

เมื่อพระเจ้าได้สร้างโลกและสรรพสัตว์ขึ้นมาแล้ว ก็ถึงคราวที่พระองค์จะสร้างมนุษย์ แต่แล้วพระองค์ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่า ถ้ามอบปัญญาแก่มนุษย์แล้ว ต่อไปมนุษย์อาจทำตัวยิ่งใหญ่เกินกว่าพระองค์ได้ จึงมอบหมายให้สิงโตคิดอ่านหาวิธีซ่อนปัญญาของมนุษย์

สิงโตจึงเรียกประชุมบรรดาสัตว์ เพื่อหาอาสาสมัครที่จะทำภารกิจนี้

หมีเสนอตัวว่าจะเอาปัญญาของมนุษย์ไปซ่อนในภูเขาที่ไกลสุดขอบฟ้า มั่นใจว่ามนุษย์หาไม่เจอแน่

สิงโตคิดสักครู่แล้วก็ส่ายหัวพูดว่า วิธีนี้ไม่ได้ผล ไม่ว่าภูเขาลูกนั้นจะอยู่ไกลแค่ไหน มนุษย์ต้องหาเจอแน่



สักพักปลาวาฬก็ออกความคิดว่า เอาไปซ่อนในสะดือทะเลสิ มนุษย์ไม่มีทางดำไปพบหรอก

สิงโตส่ายหัวอีก ไม่ว่าสะดือทะเลจะอยู่ลึกแค่ไหนสักวันมนุษย์ก็ต้องหาวิธีไปถึงจนได้

สัตว์นานาชนิดต่างออกหัวคิด แต่ก็ไม่มีวิธีไหนที่น่าพอใจจนที่สุดก็หมดปัญญา ที่ประชุมตกอยู่ในความเงียบงัน



"ผมขออาสาเอง" สัตว์ทั้งหมดหันไปมองเจ้าของเสียงพอรู้ว่าเป็นเจ้าหนูตัวน้อย ก็ฮาลั่น ต่างนึกในใจว่า ช่างไม่เจียมตัวเสียเลย

สิงโตถามอย่างเสียมิได้ว่า "เจ้าจะเอาปัญญามนุษย์ไปซ่อนที่ไหน"

"เอาซ่อนไว้ในใจมนุษย์ไงครับ" หนูกล่าว "ถ้าเอาไปซ่อนที่นั่น มนุษย์ไม่มีวันหาเจอแน่"



มาถึงวันนี้ กาลเวลาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า วิธีการของสัตว์ตัวไหนที่แยบคายที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นยอดเขาหิมาลัย ใต้มหาสมุทรแปซิฟิกหรือสุดขอบกาแล็กซี มนุษย์ก็ยังหาทางไปถึงจนได้ หรืออย่างน้อยก็สอดส่ายสายตาไปจนรู้ว่ามีอะไรอยู่ที่นั่นบ้าง ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน เราก็สำรวจค้นคว้าไม่เลิกรา

แต่แล้ว เราแทบจะไม่รู้จักจิตใจของเราเลย เราเดินทางไปทุกหนแห่ง แต่กลับปล่อยจิตใจให้กลายเป็นแดนสนธยา ใช่หรือไม่ว่า เรารู้มากมาย แต่ล้วนเป็นเรื่องนอกตัวไม่มีอะไรที่ใกล้แสนใกล้เท่ากับจิตใจของเรา แต่แล้วมันกลับดูเหมือนไกลแสนไกล

เป็นเพราะจิตใจของเราถูกละเลยเพิกเฉยมานาน จึงหมักหมมไปด้วยสิ่งตกค้างจากอารมณ์อกุศลนานาชนิด ไม่ว่าความโกรธ ความเกลียด ความท้อแท้สิ้นหวัง สิ่งตกค้างเหล่านี้เมื่อปล่อยไว้นานวัน ก็บูดเน่าเป็นพิษภัยแก่จิตใจของเรา เช่น ทำให้หงุดหงิดง่าย ขุ่นมัวเศร้าหมอง หรือเหนื่อยล้าอย่างไร้สาเหตุ

ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ว่าเราจะมีสมบัติพรั่งพร้อม ความรู้มากมาย แต่ลึก ๆ ก็หามีความสุขไม่ ภายนอกของเรานั่นอาจมั่งคั่งดูดี แต่ใช่หรือไม่ว่าภายในของเราช่างแห้งผากยากไร้ และกำลังผุกร่อนเต็มที่

เราจึงควรมีเวลาให้กับจิตใจของเราบ้าง แม้แต่ร่างกายเรายังอุตส่าห์หาของดี ๆ มาบำรุงวันละหลายเวลา เหตุไฉนจึงไม่หาสิ่งดีงามมาหล่อเลี้ยงจิตใจของเราบ้าง

จริงอยู่ เราหาความสนุกสนานมาปรนเปรอจิตใจ วันละหลายครั้งอยู่แล้ว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดที่จิตใจของเราต้องการ

ของอร่อยไม่จำเป็นว่าต้องเป็นของดีต่อร่างกายฉันใด ความสนุกตื่นเต้นก็ใช่ว่าจะดีต่อจิตใจฉันนั้น สิ่งเหล่านี้อาจเป็นรสชาติของชีวิต หากไม่มีเสียเลยก็อาจจะหงอยได้ง่าย แต่ถ้ามีเพียงเท่านี้ จิตใจของเราก็แย่เหมือนกัน

น้ำอัดลมหรือน้ำหวานถึงจะอร่อย แต่ถ้ากินทั้งวัน โรคต่าง ๆ ก็ถามหา ถึงอย่างไรก็ไม่มีน้ำอะไรที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเท่ากับน้ำบริสุทธิ์

ฉันใดก็ฉันนั้น ความสงบก็เป็นสิ่งที่จิตใจปรารถนา มากกว่าความสนุกสนาน หรือความตื่นเต้นเร้าใจ



การนำความสงบมาสู่จิตใจ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งของชีวิต จะเรียกว่าเป็น 'งาน' ของมนุษย์ทุกคนก็ได้ แต่งานประเภทนี้มิใช่ 'งานด่วน' ถึงจะเป็นงานสำคัญก็ตาม แต่ก็มิได้มีกำหนดเวลาหรือเส้นตาย หากแต่ต้องทำสม่ำเสมอ เช่นเดียวกับการรักษาสุขภาพ

อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะมิใช่งานด่วนนี้เอง 'งาน'ประเภทนี้จึงมักถูกมองข้าม หรือถูก 'งานด่วน' อย่างอื่นมาเบียดขับออกไป

ลองสังเกตดูเถิด งานด่วนที่ว่านี้ส่วนใหญ่เป็นงานไม่สำคัญ เช่น แต่งหน้า ทำผม คุยโทรศัพท์ สนทนาทางอินเตอร์เนต ชงกาแฟ ซื้อของขบเคี้ยว เอาเครื่องเล่นวิดีโอไปซ่อม ไปงานเลี้ยงหรือชมคอนเสิร์ตให้ทันเวลา รีบช้อปปิ้งก่อนหมดเทศกาลลดราคา ฯลฯ

งานด่วนที่ไม่สำคัญเหล่านี้ กินเวลาของเราไปมิใช่น้อยเมื่อรวมกับงานด่วนที่สำคัญ เช่น การเร่งงานให้เสร็จก่อนถึงเส้นตาย การไปหาหมอเพราะล้มป่วย หรือการแก้ปัญหาชีวิตให้ลูก ๆ เลยกลายเป็นว่าเราแทบไม่มีเวลาเหลือสำหรับงานที่สำคัญแต่ไม่ด่วน เช่น การทำจิตให้สงบและแช่มชื่นเบิกบาน โดยหมั่นมองเข้าไปภายในให้รู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิด จนไม่หวั่นไหวตามมันหรือฝึกจิตใจให้แน่วแน่ไม่ซัดส่าย จนมีพลังตั้งมั่น ไม่เสียศูนย์ง่าย ๆ



ถ้าเห็นว่างานประเภทหลังเป็นงานสำคัญ เราจำเป็นต้องจัดชีวิตของเราเสียใหม่ ลดงานด่วนที่ไม่สำคัญลงเสียบ้าง หรือผลัดไปทำทีหลัง

เอาเวลาฝึกฝนจิตใจอย่างน้อย ๑๐ นาทีเช้าค่ำก็ยังดีถ้าทำสม่ำเสมอ จะช่วยให้งานด่วนที่สำคัญลดลงไปได้เยอะ และกินเวลาเราน้อยลง ทั้งนี้ เพราะงานด่วนที่สำคัญนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่เราปล่อยจิตใจให้เครียดจนล้มป่วย หรือกระทบกระทั่งจนทะเลาะกับผู้อื่น ผลก็คือต้องเสียเวลาไปหาหมอ หรือไกล่เกลี่ยคืนดีกับใครต่อใคร



การดูแลรักษาใจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ที่จริงเป็นงานที่มีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ เพราะถึงที่สุดแล้ว สุขทุกข์ในชีวิตของเราทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของเรานั่นเอง


ที่มา : ร่มไม้-ริมระเบียง